เสริมหน้าอก ดีไหม? รู้ครบ! ซิลิโคนยอดนิยม เทคนิคเสริมหน้าอก ข้อควรระวัง และราคาล่าสุดก่อนตัดสินใจ พร้อมเคล็ดลับเลือกคลินิกอย่างปลอดภัย
การเสริมหน้าอก ถือเป็นหนึ่งในศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมสูง ทั้งในกลุ่มผู้หญิง ชาว LGBTQA+ หรือแม้แต่ผู้ที่ประสบภาวะเต้านมหายไปจากโรคหรืออุบัติเหตุ เพราะ “หน้าอก” ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นใจ และการแสดงออกถึงตัวตน
หลายคนเลือกเสริมหน้าอกเพราะต้องการเพิ่มความมั่นใจในการแต่งตัว ช่วยให้ใส่เสื้อผ้าได้สวยขึ้น ขณะที่บางคนเสริมหน้าอกเพื่อเติมเต็มความฝันในแบบที่ตัวเองอยากเป็น ไม่ว่าจะเป็นในด้านรูปลักษณ์ ความเป็นผู้หญิง หรือความรู้สึกภายในใจ
อย่างไรก็ตาม การเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่แม้จะมีเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ควรรู้ ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเสริมหน้าอกให้รอบด้าน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
เสริมหน้าอก เหมาะกับใคร ?
โดยทั่วไปแล้วการเสริมหน้าอกของผู้หญิง และ LGBTQA+ นั้นจะเน้นไปที่เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และแก้ไขปัญหารูปทรงของหน้าอก ด้วยเหตุนี้การเสริมหน้าอก จึงเหมาะกับคนกลุ่มต่อไปนี้
- ผู้หญิงที่มีหน้าอกเล็กหรือไม่มีขนาดสมมาตร
- ผู้หญิงที่ต้องการเติมเต็มความมั่นใจให้ตัวเอง
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อย หรือขนาดเล็กลงจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
อย่างไรก็ตามการเสริมหน้าอกก็มีขีดจำกัดสำหรับคนบางกลุ่มด้วยเช่นกัน โดยกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการเสริมหน้าอก ได้แก่
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ที่ต้องรับประทานยารักษาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือมีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาเนื้อน้อยมาก ๆ จนแพทย์ไม่แนะนำให้เสริมหน้าอก
เทคนิคการเสริมหน้าอก
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคในการเสริมหน้าอกขึ้นมาหลายแบบ โดยแต่ละเทคนิคก็เหมาะกับคนที่มีลักษณะของหน้าอกแตกต่างกันไป ดังนี้
1. เหนือกล้ามเนื้อ
เป็นการเสริมหน้าอกที่จะนำซิลิโคนวางอยู่บนแผ่นกล้ามเนื้อทั้งหมดช่วยป้องกันไม่ให้ถุงเต้านมเทียมสัมผัสกับผิวหนังหน้าอกโดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกค่อนข้างมาก
2. ใต้กล้ามเนื้อ
เป็นเทคนิคการเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากช่วยให้หน้าอกได้รูป แลดูกระชับ อีกทั้งยังลดโอกาสเกิดพังผืด โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีเนื้อเต้านมหย่อนคล้อย
3. กึ่งใต้กล้ามเนื้อ (เทคนิค Dual Plane)
เป็นเทคนิคการเสริมหน้าอกโดยวางซิลิโคนให้ครึ่งบนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ และครึ่งล่างอยู่เหนือกล้ามเนื้อ ข้อดีของเทคนิคทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นเสมือนหน้าอกจริง ไม่ดูแข็งเกินไป และลดการเกิดพังผืดได้ดียิ่งขึ้น
ซิลิโคนเสริมหน้าอกมีกี่แบบ
ในปัจจุบันมีการพัฒนาซิลิโคนเสริมหน้าอกออกมาหลายแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ โดยซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมได้แก่
1. ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงกลม
ซิลิโคนทรงนี้เปรียบเสมือนลูกบอลกลมที่สมบูรณ์แบบ มอบความอิ่มแน่นตั้งแต่เนินอกจรดเต้านมส่วนล่าง ด้วยฐานที่กว้างจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงไหล่กว้าง การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนทรงกลมจะทำให้หน้าอกขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน
2. ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ
ซิลิโคนทรงหยดน้ำเลียนแบบรูปทรงหน้าอกจริง ด้วยลักษณะที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยตามแรงโน้มถ่วง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงไหล่เล็กและตัวสูง การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนทรงนี้ช่วยให้หน้าอกดูสมส่วนและกลมกลืนกับสรีระเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอกเพียงเล็กน้อยหรือปรับทรงหน้าอกให้ดูพุ่งขึ้นได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ซิลิโคนเสริมหน้าอกยังมีถูกแบ่งตามผิวสัมผัส อย่าง ผิวเรียบ ผิวทราย หรือผิวกึ่งเรียบกึ่งทราย อีกด้วย
ซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง ?
หากพูดถึงเรื่องของซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยม ในปัจจุบันมีซิลิโคน 2 ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมได้แก่ Mentor และ Motiva
ซิลิโคน Mentor
Mentor เป็นยี่ห้อซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี โดยบริษัทผู้ผลิตเป็นหนึ่งในเครือ Johnson & Johnson Med tech และได้รับการรับรองจาก US FDA มีจุดเด่นที่เนื้อเจล (Cohesive Gel) ที่เหนียวและมีความหนาแน่น มีความสม่ำเสมอทำให้ความรู้สึกที่คล้ายจริงและดูคล้ายของจริง ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของ Mentor และรับประกันตลอดการใช้งาน โดยซิลิโคนเสริมหน้าอกของ Mentor ที่ศัลยแพทย์นิยมใช้ มีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
- Smooth Round: เป็นซิลิโคนทรงกลม ฐานกว้าง ผิวสัมผัสเรียบ เป็นซิลิโคนรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากช่วยแก้ปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี
- MemoryGel Xtra: เป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำที่ถูกพัฒนามากจากรุ่น Smooth Round มีความโดดเด่นในเรื่องของปริมาณเจล ความหนาของถุงซิลิโคน และผิวสัมผัสที่ให้ความรู้สึกสมจริงมากขึ้น
- MemoryGel Xtra Ultimate: ซิลิโคนเสริมหน้าอกรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีจุดเด่นเรื่องผิวสัมผัสที่คล้ายเนื้อหน้าอกจริง ๆ และเคลื่อนไหวได้ตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งออกแบบ และผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซิลิโคน Motiva
เป็นอีกหนึ่งซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมในวงการศัลยกรรมหน้าอก เนื่องจากเป็นซิลิโคนนวัตกรรมใหม่ที่พัฒนาให้เนื้อเจล และถุงซิลิโคนให้สัมผัสที่ให้ผิวสัมผัสเหมือนเนื้อหน้าอกจริง และช่วยให้หน้าอกเคลื่อนไหวได้สมจริง และดูสมจริงมากขึ้นตามสรีระของมนุษย์ โดยซิลิโคน Motiva ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
- Motiva Silk Surface: ซิลิโคนรุ่นนี้แบ่งออกเป็น Silk Surface Plus ที่มีเป็นรูปทรงกลม และ Silk Surface Ergonomix ที่เป็นรูปทรงกึ่งหยดน้ำ โดยทั้ง 2 ทั้งรุ่นนี้มีจุดเด่นที่ผิวสัมผัสแบบ Nano Texture ที่มีผิวสัมผัสนุ่ม คลายหน้าอกจริง อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดพังผืดได้ ไม่เพียงเท่านั้น Silk Surface Ergonomix ยังถือว่าเป็นรุ่นแรกของ Motiva ที่มีการใส่ชิปเก็บข้อมูลขนาดเล็กไว้ภายในซิลิโคนเพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้เครื่องมือแสกนที่ออกแบบมาโดยเฉพาะของ Motiva
- Motiva Ergononix: เป็นซิลิโคนที่ออกแบบมาให้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่สมจริง ทำให้เมื่ออยู่ในท่าต่างๆ ซิลิโคนจะปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำให้ไม่ดูแข็งจนเกินไป
- Motiva Joy: เป็นซิลิโคนรุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกแบบและพัฒนาโดยทีมนักวิจัย โดยความพิเศษของซิลิโคนรุ่นนี้คือ ถุงซิลิโคนมีความหนาถึง 6 ชั้น จึงช่วยป้องกันการแตก รั่วไหลและฉีกขาด และมีความแข็งแรงมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีคมยืดหยุ่นสูง ให้สัมผัสคล้ายหน้าอกจริงมากขึ้นกว่าซิลิโคนรุ่นเดิม ๆ
ขั้นตอนการเสริมหน้าอกเป็นอย่างไร
การเสริมหน้าอกจะต้องทำโดยศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเสริมหน้าอก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง โดยก่อนทำการผ่าตัดผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องได้รับยาสลบ จากนั้นแพทย์จะทำการกรีดแผลบริเวณใต้รอยพับเต้านม รอบหัวนม หรือในบางกรณีจะกรีดบริเวณรักแร้ และแพทย์จะสร้างช่องว่างในเนื้อหน้าอกให้ขนาดเพียงพอสำหรับถุงซิลิโคน แล้วสอดถุงซิลิโคนหน้าอกเข้าไปในช่องว่าง โดยซิลิโคนที่ใช้เป็นซิลิโคนที่ปลอดเชื้อ และมีความแข็งแรง
การพักฟื้นหลังการเสริมหน้าอก
หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องสวมชุดชั้นในรัดรูปเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อช่วยพยุงเต้านมและลดอาการบวม โดยแพทย์จะสั่งยาแก้ปวด เพื่อช่วยลดอาการปวด และความรู้สึกไม่สบายตัว แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ 1-2 สัปดาห์ แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกแรง ขยับตัวมาก ๆ จากนั้น 4-6 สัปดาห์ จึงจะสามารถออกกำลังกายได้ค่ะ
ผลลัพธ์ของการเสริมหน้าอกเป็นอย่างไร?
ผลลัพธ์ของการเสริมหน้าอกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว หลังจากการเสริมหน้าอก ผู้เข้ารับการศัลยกรรมตจะเห็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ภายใน 3-6 เดือนหลังการผ่าตัด เนื่องจากก่อนหน้านี้อาจยังมีอาการบวมอยู่บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้หน้าอกที่ผ่านการเสริมหน้าอกแล้วมีรูปทรง และผิวสัมผัสที่เป็นไปตามซิลิโคนที่เลือกใช้
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของการเสริมหน้าอก
เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกประเภท การเสริมหน้าอกมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
- การติดเชื้อ
- เลือดออก
- การเกิดพังผืด
- การรั่ว หรือแตกของถุงซิลิโคน
- ความไม่พึงพอใจในผลลัพธ์
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนการเสริมหน้าอก
ก่อนตัดสินใจเสริมหน้าอก มีสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาหลายประการ ที่ต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็น ความคาดหวัง ความพร้อมของสุขภาพ งบประมาณ อีกทั้งยังต้องเข้าใจถึงความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้การเลือกคลินิกศัลยกรรม และทีมศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ก็เป็นสิ่งที่ความสำคัญ เพราะการเลือกทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถอุ่นใจได้ว่าในการผ่าตัดจะดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง
เสริมหน้าอก ราคาเท่าไร?
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเสริมหน้าอกจะความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทของซิลิโคนที่ใช้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรักษา ศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัด รวมไปคลินิกศัลยกรรมที่เลือกทำ ซึ่งขอบอกเลยว่าการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกนั้นไม่ควรเลือกที่ราคาถูกเพราะบางทีราคาที่ถูกเกินไปอาจทำให้เสี่ยงเจอกับซิลิโคนของปลอม หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น และอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้


